“รู” of law
ภายใต้สภาวะสมัยใหม่หรือรัฐสมัยใหม่ ความมีเหตุผล (rationality) ได้กลายมาเป็นรากฐานของความชอบธรรมของทุกสิ่ง โดยเฉพาะความชอบธรรมของระเบียบและอำนาจทางการเมือง หลักการสำคัญของรัฐสมัยใหม่ที่เรียกว่า “นิติรัฐ” หรือ rule of law จึงกลายมามีความสำคัญอย่างที่สุดที่ใช้ในการปกครอง ตัวอย่างที่ดีก็คือ กฎหมายหรือคำตัดสินของศาลได้กลายมาเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นความยุติธรรมในตัวเอง หากผู้ใดวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลก็จะถูกกล่าวหาว่า ดูหมิ่นศาล เป็นต้น
ยิ่งไปกว่านั้น ภายใต้การปกครองของรัฐสมัยใหม่ ประชาชนจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมายไม่ได้ ทุกคนจะต้องถูกทำเสมือนว่า (supposed to know) เข้าใจและรู้กฎหมายในทุกมาตรา โดยจะอ้างว่าที่ละเมิดกฎหมายเพราะไม่รู้ไม่ได้ กฎหมายในทรรศนะของเสรีนิยมประชาธิปไตยดังกล่าวนี้จึงมีความเป็นกลาง ยุติธรรม และสูงส่งศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง (in-itself) มากกว่าที่จะถูกรับรองหรือเสริมความชอบธรรมจากอะไรที่อยู่ “เหนือ” หรือ “นอก” ตัวบทกฎหมายเอง
สิ่งที่เรียกกันว่า “นิติรัฐ” หรือ rule of law จึงเป็นสิ่งที่ไม่มีจริงและเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก นิติรัฐจึงเป็นเพียงระเบียบที่ถูกสร้างขึ้นมาปกครองของรัฐซึ่งต้องอาศัยอำนาจที่อยู่ “เหนือ” หรือ “นอก” นั่นก็คือ อำนาจของพ่อมาเป็นจุดอ้างอิงอีกที นิยายชวนฝันว่าด้วยกำเนิดของพ่อและระเบียบของพ่อ หรือกำเนิดของรัฐนั้นจึงมีความสำคัญอย่างมากในการทำหน้าที่ปกปิด “รู” หรือ “ความขาด” หรือความล้มเหลวของตัวบทกฎหมายที่ไม่สามารถสมบูรณ์หรือจบสิ้นภายในตัวมันเอง แต่ต้องอาศัยการรับรองและหนุนเสริมขององค์อธิปัตย์ซึ่งมาพร้อมกับการใช้ความรุนแรงอีกที – ความขาด หรือ รู ที่ถูกเติมเต็มโดยองค์อธิปัตย์จึงไม่ได้อยู่ “นอก” (outside) จากกฎระเบียบทั้งหมด แต่เป็นพื้นที่ “ระหว่าง” (threshold) ข้างในและข้างนอก[1]
รูโหว่ ซึ่งเป็นที่สถิตขององค์อธิปัตย์จึงสะท้อน “ความขาด” ความล้มเหลว และความไม่สมบูรณ์ของกฎหมายเอง กล่าวให้ชัดแล้ว ความไม่สมบูรณ์ดังกล่าวก็คือ ความเป็นไปไม่ได้ (impossibility) ของสิ่งที่เรียกกันว่า นิติรัฐ (rule of law) หรือ รัฐที่วางอยู่บนกฎหมาย (Rechtsstaat) โดยตัวของมันเอง นิติรัฐ หรือ RULE of law จึงไม่ได้ดำรงอยู่ด้วยตัวของมันเอง แต่ถูกรับรอง/รองรับ และในด้านหนึ่งก็ถูกจำกัดไว้โดย “ความขาด” หรือ “รู” นั่นก็คือ อำนาจขององค์อธิปัตย์มากกว่า
Nicos Poulantzas ตั้งข้อสังเกตไว้อย่างถูกต้องว่า หลักการว่าด้วยความเท่ากันต่อหน้ากฎหมายในฐานะที่เป็นหลักการพื้นฐานที่รองรับความชอบธรรมและเสรีภาพของปัจเจกบุคคลภายใต้รัฐทุนนิยมสมัยใหม่นั้น จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อมันวางอยู่บน “เงื่อนไขที่เขาเหล่านั้น [ประชาชน-ผู้เขียน]เป็น/กลายมาเป็นกระฎุมพี”[2] เท่านั้น
นั่นหมายความว่า หลักการว่าด้วยความเท่ากันต่อหน้ากฎหมายดังกล่าวเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้และไม่มีวันเป็นไปได้อย่างสิ้นเชิงในโลกของความเป็นจริงภายใต้ระบบทุนนิยม เพราะตราบใดที่คนทุกคนภายใต้ระบบทุนนิยมหรือรัฐประชาชาติไม่สามารถกลายมาเป็นกระฎุมพีทั้งใหญ่และน้อยได้ นั่นก็หมายความว่า พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่สามารถมีความเท่ากันกับคนอื่นหรือชนชั้นอื่นได้
ดังนั้น อำนาจตุลาการ ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของอำนาจอธิปไตยตามหลักการแบ่งแยกอำนาจของแนวคิดเสรีนิยมประชาธิปไตย (liberal democracy) ที่แสดงออกผ่าน “ศาลยุติธรรม” ในทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลฎีกา ฯลฯ จึงไม่ได้มีสาระแก่นสารหรือมีฐานของการอ้างอิงอะไร นอกเหนือจาก ความกลวงเปล่า/ความขาด/รู ที่ไม่สามารถตั้งคำถามได้/ท้าทายไม่ได้/เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมการเมืองที่อำนาจตุลาการเป็นฐานที่มั่นขององค์อธิปัตย์ การท้าทายต่อศาลและคำตัดสินของศาลของประชาชนจึงเป็นการท้าทายและตั้งคำถามกับอำนาจและการดำรงอยู่ขององค์อธิปัตย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงไม่ต้องสงสัยว่าเหตุใดองค์อธิปัตย์เลือกที่จะระงับ/ทำลาย/ยุบสถาบันทางการเมืองอื่นๆ โดยเฉพาะสถาบันที่มาจากการเลือกตั้ง เช่น รัฐสภา รัฐบาล พรรคการเมือง ฯลฯ ผ่านอำนาจของศาลที่ถูกทำให้ตั้งคำถามไม่ได้/ท้าทายไม่ได้แต่แรก
กฎของพ่อจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพได้ก็ต่อเมื่อมันถูกดึงเข้ามาไว้ภายใน (domestication) ในฐานะที่เป็นระเบียบและวินัย (order and discipline) ที่ซับเจคใช้ในการควบคุมตนเองและห้ามตนเอง (self-censorship/self-prohibition)[3] มากกว่าที่จะถูกห้ามโดยกฎหมายที่เป็นตัวบท (text) นั่นหมายความว่า ภายใต้การปกครองของพ่อและกฎของพ่อที่การใช้อำนาจของพ่อถูกรับรู้ในฐานะที่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรม การเรียกร้องหาพ่อของลูกๆทั้งหลายจึงเป็นสามัญสำนึก (common sense) ของคนจำนวนมากที่ถูกปกครอง
พ่อจึงไม่ใช่อำนาจที่กดบังคับจากภายนอก แต่พ่อทำงานจากความยินยอมพร้อมใจจากภายในชีวิตและจิตใจของคนธรรมดาๆในสังคมมากกว่า เช่นเดียวกับการบุกฆ่านักศึกษาประชาชนโดยลูกเสือชาวบ้านในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ที่ประชาชนส่วนหนึ่งกลายมาเป็นรัฐและส่วนหนึ่งของรัฐและทำหน้าที่แทนรัฐและเจ้าผู้ปกครองในการประหัตประหารคนที่ต่อต้านรัฐและอำนาจรัฐเสียเอง อำนาจของพ่อที่ถูกดึงเข้ามาอยู่ภายในซับเจคจึงเป็นดังที่ ธงชัย วินิจจะกูล กล่าวว่า
“อำนาจควบคุมบงการชนิดนี้มักไม่ได้อาศัย ตำรวจ ทหาร ศาล หรือโรงเรียน หรือส่งเจ้าหน้าที่มาควบคุมอยู่ทุกหัวมุมถนน แต่มีพลเมืองดีทุกหัวระแหงที่พร้อมจะทำตัวเป็นผู้จงรักภักดีต่อรัฐ เข้าลงมือ และใช้อำนาจต่อผู้ที่ละเมิดเสียเองโดยไม่ต้องอาศัยกลไกรัฐเลย ประชาชนด้วยกันนี่แหละกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลไกรัฐไปด้วยแล้ว”[4]
[1] ดูการอภิปรายประเด็น ข้างนอก (outside) และ ข้างใน (inside) ใน Michael Hardt and Antonio Negri, Empire (Cambridge: Harvard University Press, 2000), p. 67-204; Giorgio Agamben, Homo Sacer: Sovereign Power and Bare Life (Stanford: Stanford University Press, 1998)
[2] “on condition that he is or becomes a bourgeois” ใน Nicos Poulantzas, State, Power, Socialism (London and New York: Verso, 1980), p.90.
[3] Nicos Poulantzas, State, Power, Socialism (London and New York: Verso, 1980), p. 77-8.
[4] ธงชัย วินิจจะกูล, “ปาฐกถาพิเศษ ‘เสื้อเหลือง’ กับอนาคตของการศึกษาเรื่อง ‘รัฐ’” จัดโดย ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร, วันที่ 30 มีนาคม 2550 ดู http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ID=7752&Key=HilightNews (เข้าดูวันที่ 9 สิงหาคม 2551)
เจน said,
สิงหาคม 11, 2008 ที่ 1:55 pm
สงสัยอ่ะ
แล้วถ้ารัฐที่ไม่มีพ่อเป็นประมุข..
อะไรคือรู/ช่องโหว่งในความหมายนี้..
แล้วองค์อธิปปัตย์หมายถึงอะไรได้บ้าง
แล้วองค์อธิปปัตย์จะใช้อำนาจผ่านตุลาการเสมอไปหรือไม่?อย่างไร?
อย่าลืมตอบนะจ๊ะ
อยากรู้ๆ
Nay : ) said,
สิงหาคม 18, 2008 ที่ 11:03 am
ผมไล่อ่านเกือบจะทุกบทความแล้ว
บอกได้คำเดียว
.
.
.
มันส์มากครับ
chocolate lover said,
กุมภาพันธ์ 28, 2010 ที่ 1:28 pm
เห็นด้วยกับคห.2
มันมันส์จิง
แต่อัพบ้างนะ
งานที่ม.เยอะละสิ
เลยไม่มีเวลาอัพ
fighting+++++